ในประเทศสหรัฐอเมริกา มาตรฐานที่ใช้บังคับอุปกรณ์ป้องกันเท้าและขา คือ มาตรฐาน ANSI Z41.1-1991 และ ANSI Z41.1-1999 Reversion ใช้ฉบับใดก็ได้ถือว่ามีความทัดเทียมกัน จริงๆ แล้ว ANSI Z41.1-1999 Reversion ก็เป็น ANSI Z41.1-1991 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมนั่นเอง และต่อไปนี้จะเป็นการสรุปสาระสำคัญของมาตรฐานทั้งสองฉบับรวมกันซึ่งได้กำหนด คุณสมบัติของรองเท้านิรภัยไว้ 6 ประเด็น ได้แก่
. การต้านทานแรงกระแทกและแรงบีบ (Impact and Compression Resistance) กำหนดให้รองเท้านิรภัยสำหรับใช้งานทั่วไปจะต้องผ่านการทดสอบคุณสมบัติของหัวรองเท้าที่ใช้ป้องกันนิ้วเท้าจากวัตถุที่ตกหล่นหรือกลิ้งทับ หัวรองเท้าแต่ดั้งเดิมจะทำด้วยเหล็กกล้าจึงเรียกติดปาก “ หัวเหล็ก ” (Steel Toes) ทั้งๆ ที่มาตรฐานนี้ไม่ได้บังคับให้ใช้เฉพาะหัวเหล็กเท่านั้น (ปัจจุบันหัวรองเท้าทำด้วยวัสดุไม่ใช่โลหะ อาทิเช่น “Iron Age/Knapp” มีคุณสมบัติทัดเทียมกับเหล็กกล้าในการใช้ทำหัวรองเท้านิรภัยและได้รับการรับรองตาม มาตรฐานนี้เช่นกัน) หัวรองเท้านิรภัยที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดของมาตรฐาน ANSI Z41.1-1991 หรือ ANSI Z41.1-1999 Reversion จะต้องผ่านการทดสอบการต้านทานแรงกระแทกและแรงบีบที่ เรียกว่า The ANSI Class ซึ่งมีตั้งแต่ Class 30, Class 50 และสูงสุด Class 75 ตัวอย่างการทดสอบหัวรองเท้า Class 75 ใช้วัตถุหนัก 50 ปอนด์ทิ้งลงมายังหัวรองเท้าในระยะความสูง 18 นิ้วหรือใช้แรงบีบ 2,500 ปอนด์โดยหัวรองเท้าต้องมีความต้านทานแรงกระแทกหรือแรงบีบดังกล่าวในระดับยอมรับได้ วัดจากการยุบตัวที่ทำให้มีช่องว่างระหว่างขอบหัวรองเท้าด้านบนกับพื้นรองเท้าลดลงไม่เกินค่าที่กำหนดไว้ ได้แก่ 16/32 นิ้ว (12.7 มม.) สำหรับหัวรองเท้าผู้ชาย และ 15/32 นิ้ว (11.9 มม.) สำหรับหัวรองเท้าผู้หญิง
2. รองเท้าป้องกันกระดูกเท้าส่วนบน (Metatarsal Footware) กำหนดให้รองเท้านิรภัยที่จะนำไปใช้ในบริเวณซึ่งมีความเสี่ยงที่กระดูกเท้าด้านบน (หลังเท้า) จะได้รับอันตรายจากวัตถุหล่นกระแทก โดยจะต้องมีแผ่นป้องกันกระดูกเท้าส่วนบน (หลังเท้า) นอกเหนือไปจากหัวรองเท้านิรภัย ทั้งนี้ สามารถติดตั้งได้ทั้งที่ด้านนอกหรือด้านในของตัวรองเท้า
            3. รองเท้าป้องกันอันตรายจากกระแส ไฟฟ้า (Electrical Hazard (EH) Footware) กำหนดให้รองเท้านิรภัยที่จะนำไปใช้ป้องกันอันตรายจากกระแสไฟฟ้าต้องมีโครงสร้างพื้นรองเท้าสามารถลดอันตรายจากกระแสไฟฟ้าเมื่อสัมผัสกับวัตถุที่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน โดยให้เป็นมาตรการป้องกันขั้นที่สอง (Secondary Protection) รองจากการปกคลุมหรือห่อหุ้มผิวด้านนอกตัวนำไฟฟ้าด้วยฉนวน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งรองเท้านิรภัยที่ใช้พื้นและส้นรองเท้าทำด้วยวัสดุไม่เป็นตัวนำไฟฟ้า มีจุดประสงค์เพื่อนำไปสวมใส่ในบริเวณที่มีกระแสไฟฟ้าไหลอยู่บนพื้นไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดหรือในลักษณะไหนก็ตาม เป็นการป้องกันผู้สวมใส่ไม่ให้ถูกไฟฟ้าดูดหรือไฟฟ้าช๊อต ทั้งนี้ บริเวณดังกล่าวต้องมีมาตรการป้องกันอันตรายจากกระแสไฟฟ้าด้วยวิธีการหุ้มฉนวนไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว
4. รองเท้าตัวนำ (Conductive Footware) กำหนดให้รองเท้าที่จะเป็นตัวนำ ต้องออกแบบให้มีการปล่อยไฟฟ้าสถิตจากร่างกายผู้สวมใส่ผ่านรองเท้าลงสู่พื้น ทั้งนี้ พื้นจะต้องเรียบเพื่อให้ไฟฟ้าสถิตกระจายตัวออกไปได้ง่าย จุดประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟฟ้าสถิตเกิดการสะสมทั้งบนร่างกายและพื้นที่ทำงานซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดการระเบิดหรือลุกไหม้ ใช้สวมใส่เมื่อต้องเข้าไปทำงานในบริเวณที่มีวัตถุระเบิดหรือสารเคมีที่ระเบิดหรือลุกติดไฟได้ง่าย
            5. รองเท้าป้องกันการเจาะทะลุพื้นรอง เท้า (Sole Puncture) กำหนดให้รองเท้านิรภัยที่จะนำไปใช้ในบริเวณซึ่งมีความเสี่ยงที่พื้นรองเท้าจะถูกวัตถุแหลมคมเจาะทะลุ ต้องใช้พื้นรองเท้าที่มีคุณสมบัติป้องกันในระดับที่ยอมรับได้ อย่างน้อยจะต้องป้องกันการเจาะทะลุของสิ่งที่มีอยู่ทั่วไปตามพื้นของสถานที่ทำงาน เช่น ตะปู เศษแก้ว เศษโลหะ ฯลฯ

6. รองเท้ากระจายไฟฟ้าสถิต (Static Dissipative (SD) Footware) กำหนดให้รองเท้านิรภัยที่จะใช้เป็นทั้งรองเท้าตัวนำและรองเท้าป้องกันไฟฟ้าดูดในคู่เดียวกัน ต้องมีคุณสมบัติในการลดการสะสมสูงสุดของไฟฟ้าสถิตบนร่างกายได้ แต่ก็ยังมีไฟฟ้าสถิตในระดับสูงพอจะทำให้มีความต้านทานกระแสไฟฟ้าในอัตราที่กำหนดไว้ (อัตรากำหนดสำหรับการทดสอบ 106-109 โอห์ม) นั่นคือ รองเท้ากระจายไฟฟ้าสถิตจะต้องเป็นทั้งตัวนำไฟฟ้าสถิตและตัวต้านทานกระแสไฟฟ้าซึ่งสามารถสวมใส่เข้าไปในบริเวณที่มีความเสี่ยงทั้งสองลักษณะได้
กล่าวโดยสรุป รองเท้านิรภัยคู่ใดก็ตามที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐาน ANSI Z41.1-1991 และ ANSI Z41.1-1999 Reversion จะต้องมีคุณสมบัติและผ่านการทดสอบข้อใดข้อหนึ่งใน 6 ข้อดังกล่าวข้างต้น โดยจะถือว่าเป็นรองเท้า นิรภัยสำหรับใช้ในวัตถุประสงค์ตามที่ระบุไว้นั้นเช่น รองเท้าที่มีคุณสมบัติและผ่านการทดสอบ ตามข้อ 1. คือ มีหัวรองเท้านิรภัยสามารถทนแรงกระแทกและแรงบีบตามที่กำหนดไว้ จะถือว่า เป็น “รองเท้านิรภัยสำหรับใช้งานทั่วไป” ตาม มาตรฐานนี้ อย่างไรก็ตาม อาจมีคุณสมบัติและผ่านการทดสอบในมากกว่าหนึ่งข้อในคู่เดียวกันส่วนใหญ่จะเป็นข้อ 1. ร่วมกับข้อ 5. ทำให้รองเท้านิรภัยคู่นั้นมีทั้งหัวรองเท้านิรภัยและพื้นรองเท้าต้านทานการแทงทะลุซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของลูกจ้างจำนวนมากในปัจจุบันมาตรฐาน EN345 อันเป็นข้อบังคับหลักของยุโรปหรือเครื่องหมายมาตรฐาน ISO EN20345 ซึ่งได้กำหนดขึ้นมาใหม่เมื่อเร็วๆ นี้ ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

|